การแจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาบ่อยๆ อาจทำให้ขั้นตอนการทำงานของคุณสะดุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการแจ้งเตือนข้อผิดพลาดที่น่ากลัวอย่าง "ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต" (Unlicensed Product) ในเครื่องมือของ Microsoft แม้ว่าปัญหานี้จะพบได้บ่อย แต่ก็น่าแปลกที่หลายคนยังคงติดอยู่กับปัญหานี้ แต่ความจริงก็คือ เมื่อคุณได้รู้วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้ว คุณจะไม่มีวันรู้สึกติดขัดกับปัญหานี้อีกต่อไป และการแก้ไขนั้นง่ายกว่าที่คุณคิดไว้มาก ในคู่มือนี้ เราจะแนะนำคุณทีละขั้นตอนง่ายๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่คอยกวนใจอยู่เสมอว่า จะแก้ไขผลิตภัณฑ์ Microsoft Office ที่ไม่มีใบอนุญาตได้อย่างไร
ทำไม Microsoft Office ถึงแสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต
Microsoft Office อาจแสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตได้จากหลายสาเหตุ นี่คือสถานการณ์และตัวอย่างที่พบบ่อยเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับสถานะผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตของ Microsoft Office:
การติดตั้ง Office เกิดข้อผิดพลาดหรือเสียหาย:
ตัวอย่าง: หากไฟล์การติดตั้ง Office เสียหายหรือไม่สมบูรณ์ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตได้
รหัสผลิตภัณฑ์ (Product Key) หมดอายุหรือคุณป้อนรหัสผิด:
ตัวอย่าง: หากรหัสผลิตภัณฑ์ที่ใช้ระหว่างการติดตั้งหมดอายุหรือป้อนไม่ถูกต้อง Office อาจไม่รู้จักว่าเป็นใบอนุญาตที่ถูกต้อง
มีการติดตั้ง Office บนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น:
ตัวอย่าง: หากคุณพยายามใช้ผลิตภัณฑ์ Office ที่เคยติดตั้งไว้ในคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นมาก่อน อาจส่งผลให้สถานะกลายเป็นไม่มีใบอนุญาตได้
มีการติดตั้ง Office หลายเวอร์ชัน:
ตัวอย่าง: การมี Office หลายเวอร์ชันในเครื่องเดียวกันอาจสร้างความขัดแย้งและทำให้เกิดข้อผิดพลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตได้
Microsoft Office ถูกปิดใช้งาน:
ตัวอย่าง: หาก Microsoft Office ถูกปิดใช้งานบนอุปกรณ์โดยเจตนา โปรแกรมจะถูกระบุว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต
การสมัครใช้งาน Office 365 หมดอายุ:
ตัวอย่าง: สำหรับผู้ใช้ Office 365 การสมัครใช้งานที่หมดอายุอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตได้
วิธีแก้ไขผลิตภัณฑ์ Microsoft Office ที่ไม่มีใบอนุญาต
เนื่องจากไม่มีสาเหตุเดียวที่ทำให้การเปิดใช้งานผลิตภัณฑ์ Microsoft ล้มเหลว วิธีการแก้ไขปัญหา Microsoft Office ที่แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตจึงอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุเฉพาะของปัญหาที่คุณเจอ เรามาดูวิธีการแก้ไขปัญหานี้กัน
วิธีที่ 1: ตรวจสอบรหัสผลิตภัณฑ์ของคุณ
ก่อนที่จะสรุปอะไรไป สิ่งแรกที่ผู้ใช้ควรทำคือตรวจสอบรหัสผลิตภัณฑ์ของตนเอง สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบว่าผู้ใช้ได้ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีอีเมลที่ลงทะเบียนไว้หรือไม่ ซึ่งสามารถทำได้โดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
ขั้นตอนที่ 1: ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะบัญชี Microsoft ของตนเองได้โดยการเปิดแอป Microsoft เช่น Microsoft Word
ขั้นตอนที่ 2: หลังจากเปิดแอป Microsoft แล้ว ให้คลิกที่ "บัญชี" (Account) ในแผงด้านซ้ายเพื่อให้แน่ใจว่าอีเมลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตรงกับบัญชี Microsoft ที่ลงทะเบียนไว้
ขั้นตอนที่ 3: ผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบบริการและการสมัครใช้งานได้โดยไปที่เว็บไซต์ทางการของ Microsoft แล้วลงชื่อเข้าใช้
ขั้นตอนที่ 4: ไปที่บัญชี Microsoft ของคุณแล้วคลิกที่แท็บ "การสมัครใช้งาน" (Subscriptions) เพื่อดูแผนปัจจุบันของคุณ
ขั้นตอนที่ 5: หากคุณไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีอีเมลที่เชื่อมโยงกับการสมัครใช้งาน Microsoft 365 ของคุณ ให้ลงชื่อออกแล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีอีเมลที่ลงทะเบียนไว้เพื่อแก้ไขปัญหา
วิธีที่ 2: ตรวจหาการอัปเดต
หากคุณใช้บัญชีอีเมลที่ลงทะเบียนไว้แล้วแต่ยังคงพบปัญหาอยู่ ให้ตรวจหาการอัปเดต เนื่องจากกาอัปเดต Microsoft Office อาจช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตได้:
ขั้นตอนที่ 1: หากต้องการตรวจหาการอัปเดต ให้เปิดแอป Microsoft Office ใดก็ได้ เช่น Microsoft Excel
ขั้นตอนที่ 2: ในแผงด้านซ้าย ให้คลิกที่ "บัญชี" (Account) เพื่อเข้าถึงข้อมูลบัญชี
ขั้นตอนที่ 3: ในหน้าต่างบัญชี ให้คลิกที่ปุ่ม "ตัวเลือกการอัปเดต" (Update Options) แล้วเลือก "อัปเดต" (Update) Microsoft Office จะค้นหาการอัปเดตโดยอัตโนมัติและติดตั้งไฟล์ที่จำเป็นระหว่างการอัปเกรด
หมายเหตุ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต มิฉะนั้นคุณอาจประสบปัญหาในการค้นหาการอัปเดต
วิธีที่ 3: ตรวจสอบว่ามี Office หลายชุดติดตั้งอยู่หรือไม่
อีกปัญหาหนึ่งอาจเกิดจากการมี Office หลายชุดติดตั้งอยู่ในระบบของคุณ ซึ่งอาจทำให้ Microsoft Office แสดงข้อความผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ โดยการถอนการติดตั้งชุด Microsoft Office ที่ไม่จำเป็นออก ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
ขั้นตอนที่ 1: เข้าถึงแผงควบคุม (Control Panel) โดยใช้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการของคุณ
สำหรับ Windows 11 หรือ Windows 10: พิมพ์ Control Panel ในช่องค้นหาบนแถบงาน เลือก "Control Panel" ในผลลัพธ์ แล้วคลิกที่ Programs and Features
สำหรับ Windows 8.1 หรือ Windows 8: คลิกขวาที่ปุ่ม Start (มุมล่างซ้าย) เลือก Control Panel แล้วคลิกที่ "Programs and Features"
สำหรับ Windows 7: ไปที่ "Control Panel" แล้วเลือก "Uninstall a program"
ขั้นตอนที่ 2: ในช่อง Search Programs and Features (มุมบนขวา) ให้ค้นหาคำว่า "office" หรือ "Microsoft"
ขั้นตอนที่ 3: หากมีหลายเวอร์ชันแสดงอยู่ ให้คลิกขวาที่เวอร์ชันที่คุณไม่ได้ใช้แล้วเลือก "Uninstall"
ขั้นตอนที่ 4: เมื่อถอนการติดตั้งเสร็จแล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์ของคุณ
ขั้นตอนที่ 5: เปิดแอปพลิเคชัน Office ใดก็ได้ในระบบของคุณ แล้วลงชื่อเข้าใช้เพื่อเข้าถึงแอปพลิเคชัน Office
ขั้นตอนที่ 6: หากปัญหากาเปิดใช้งาน Office ยังคงอยู่ ให้พิจารณาทำการซ่อมแซมออนไลน์เพื่อแก้ไขการติดตั้ง Office ที่เหลืออยู่
วิธีที่ 4: ตรวจสอบสถานะการสมัครใช้งานของคุณ
คุณได้ตรวจสอบการสมัครใช้งาน Microsoft ของคุณแล้วหรือยัง บ่อยครั้งที่ระยะเวลาการสมัครใช้งานของคุณอาจหมดอายุและคุณยังไม่ได้ชำระเงินสำหรับรอบถัดไป ในกรณีนี้ คุณอาจพบปัญหาการเปิดใช้งาน เรามาตรวจสอบสถานะการสมัครใช้งานกันโดยทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
ขั้นตอนที่ 1: เปิดเบราว์เซอร์ของคุณแล้วไปที่หน้า บริการและการสมัครใช้งาน (Services & Subscriptions) ของ Microsoft Office
ขั้นตอนที่ 2: หากคุณยังไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้ ให้เข้าสู่ระบบโดยใช้อีเมลที่ลงทะเบียนกับการสมัครใช้งาน Microsoft ของคุณ
ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบรายละเอียดการสมัครใช้งาน Office ของคุณ ซึ่งจะอยู่ใต้หัวข้อ "การสมัครใช้งาน" (Subscription) หรืออาจปรากฏใต้ "ยกเลิกการสมัครใช้งาน" (Cancel Subscription)
ขั้นตอนที่ 4: หากการสมัครใช้งานของคุณสิ้นสุดลงแล้ว เพียงไปที่ ต่ออายุ Microsoft 365 Family แล้วต่ออายุการสมัครใช้งานของคุณ
ขั้นตอนที่ 5: ตอนนี้ ให้รีสตาร์ทแอปพลิเคชัน Office ของคุณ แล้วข้อความแจ้งการเปิดใช้งานจะหายไป
วิธีที่ 5: ติดตั้ง Microsoft Office ใหม่
หากไม่มีวิธีใดได้ผล ทางเลือกสุดท้ายในการแก้ปัญหาด้วยตนเองคือการลองติดตั้งใหม่ แม้ว่าอาจจะใช้เวลาสักหน่อย แต่ก็สามารถช่วยให้แอปพลิเคชัน Office ของคุณกลับมาทำงานได้อีกครั้งโดยไม่มีข้อความแจ้งการเปิดใช้งาน:
ขั้นตอนที่ 1: ไปที่แถบค้นหาแล้วค้นหา Control Panel
ขั้นตอนที่ 2: เปิด Control Panel แล้วใต้หัวข้อ Programs ให้คลิกที่ "Uninstall"
หมายเหตุ: ขั้นตอนนี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของ Windows ที่คุณใช้
ขั้นตอนที่ 3: ค้นหาโปรแกรม Office ของคุณ คลิกขวา แล้วเลือก "Uninstall" เพื่อลบโปรแกรมออกจากระบบของคุณ
ขั้นตอนที่ 4: เมื่อถอนการติดตั้งแล้ว ให้เปิดเบราว์เซอร์ของคุณแล้วไปที่เว็บไซต์ของ Microsoft
ขั้นตอนที่ 5: ตอนนี้ เพียงลงชื่อเข้าใช้แล้วดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Office ตามเวอร์ชัน Windows ของคุณ
ขั้นตอนที่ 6: เมื่อดาวน์โหลดและติดตั้งแล้ว ให้เปิดแอปใดก็ได้ ลงชื่อเข้าใช้ แล้วใช้แอปพลิเคชัน Office
โซลูชันที่ครอบคลุมสำหรับปัญหาการเปิดใช้งาน Office
ตอนนี้ วิธีการเหล่านี้ทั้งหมดแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และหนึ่งในนั้นอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับคุณ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้การเปิดใช้งาน Microsoft Office ล้มเหลว เรามาดูภาพรวมของวิธีการเหล่านี้เพื่อสรุปกัน:
วิธีการ | ควรใช้เมื่อใด | ระดับความยาก |
---|---|---|
ตรวจสอบรหัสผลิตภัณฑ์ของคุณ | หากยังคงพบปัญหาการเปิดใช้งาน | ง่าย |
ตรวจหาการอัปเดต | หากใช้อีเมลที่ลงทะเบียนแล้วแต่ยังคงพบปัญหา | ง่าย |
ตรวจสอบว่ามี Office หลายชุดติดตั้งอยู่หรือไม่ | หาก Office แสดงผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาตเนื่องจากการติดตั้งหลายชุด | ง่าย |
ตรวจสอบสถานะการสมัครใช้งานของคุณ | หากยังคงพบปัญหาการเปิดใช้งาน และการต่ออายุการสมัครใช้งานอาจเป็นปัจจัย | ง่าย |
ติดตั้ง Microsoft Office ใหม่ | หากวิธีอื่นไม่ได้ผล และวิธีการก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ | ปานกลาง |
วิธีแก้ปัญหาการเปิดใช้งาน Microsoft Office ล้มเหลว
ใช้ทางเลือกที่ดีที่สุดและฟรีแทน Microsoft Office
WPS Office คือโซลูชันครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการทำงานของคุณ ตั้งแต่ Writer, Spreadsheet, Presentation ไปจนถึงเครื่องมือ PDF ชั้นยอด ครอบคลุมทุกการใช้งานและอื่นๆ อีกมากมาย แม้ว่า Microsoft Office จะเป็นชุดโปรแกรมที่ทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย พร้อมด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายและความเข้ากันได้สูง แต่การเปลี่ยนมาใช้ WPS Office เป็นทางเลือกนั้นก็ทำได้อย่างง่ายดาย อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและชุดฟีเจอร์ที่ครอบคลุมทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น มั่นใจได้ถึงประสบการณ์ที่สะดวกสบาย ด้วย WPS Office คุณจะค้นพบว่างานออฟฟิศของคุณจะง่ายดายและมีประสิทธิภาพเพียงใด
วิธีเปิดและบันทึกไฟล์ Microsoft Word, Excel, PowerPoint ใน WPS Office
WPS Office เข้ากันได้กับไฟล์ Office ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร Word, สเปรดชีต หรือพรีเซนเทชัน คุณไม่เพียงแต่สามารถเปิดไฟล์เหล่านี้ได้ แต่ยังสามารถแก้ไข แชร์ และบันทึกไฟล์ด้วย WPS Office ได้อีกด้วย
ขั้นตอนที่ 1: เปิด WPS Office บนระบบของคุณ จากนั้นในแผงด้านซ้าย ให้คลิกที่ "ไฟล์" (Files)
ขั้นตอนที่ 2: ตอนนี้คุณจะเห็นไฟล์ Word, Excel, PowerPoint และแม้กระทั่งไฟล์ PDF ทั้งหมดในระบบของคุณ เพียงคลิกที่ไฟล์ใดก็ได้ที่คุณต้องการเปิด
ขั้นตอนที่ 3: ไฟล์ที่คุณเลือกจะเปิดขึ้น และคุณสามารถดำเนินการแก้ไขที่จำเป็นต่อไปได้
ขั้นตอนที่ 4: หากต้องการบันทึกไฟล์ ให้คลิกที่ "เมนู" (Menu) ซึ่งอยู่ที่มุมบนซ้าย แล้วคลิกที่ "บันทึก" (Save)
ฉันใช้ WPS Office มากว่าหนึ่งปีแล้ว และไม่ว่าจะเป็ฯไฟล์ประเภทใด ฉันไม่เคยพบปัญหาในการเข้าถึงไฟล์ Microsoft Office โดยใช้ WPS Office เลย ข้อเท็จจริงที่ว่าโปรแกรมนี้ฟรีโดยสมบูรณ์เมื่อเทียบกับ Microsoft Office ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมการสมัครใช้งานจำนวนมาก ทำให้ประสบการณ์การใช้ WPS Office นั้นไม่มีใครเทียบได้
วิธีแก้ไข PDF ใน WPS Office
WPS Office เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของคุณในการจัดการกับไฟล์ PDF ไม่ว่าจะเป็นการแปลง, รวม, แก้ไข, จัดระเบียบ - ไม่ว่าความต้องการเกี่ยวกับ PDF ของคุณจะเป็นอย่างไร WPS ก็พร้อมตอบสนอง ลองดูคู่มือที่มีประโยชน์นี้เพื่อเป็นสุดยอดนินจา PDF
ขั้นตอนที่ 1: ใช้ WPS Office เปิดไฟล์ PDF
ขั้นตอนที่ 2: ใช้แท็บแก้ไข (Edit) เพื่อทำให้ PDF ของคุณโดดเด่น เพิ่มคำบรรยาย, ข้อความชี้แจง, รูปภาพลงในเอกสารของคุณ
ขั้นตอนที่ 3: ลงนามใน PDF ของคุณในแท็บกรอกและลงนาม (Fill & Sign)
ขั้นตอนที่ 4: คลิก "เมนู" (Menu) และ "บันทึก" (Save) เพื่อรักษาการอัปเดต PDF อันมีค่าของคุณ
หมายเหตุ: ผู้ใช้อาจใช้แป้นพิมพ์ลัด "CTRL + S" เพื่อทำสำเนา PDF ของคุณได้เช่นกัน
โดยส่วนตัวแล้ว การใช้ WPS Office ให้ความรู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและการออกแบบที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ทำให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและง่ายดาย อันที่จริง การปรับตัวเข้ากับ WPS Office อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ง่ายที่สุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับ Microsoft Office ด้วยฟีเจอร์ที่คาดหวังทั้งหมดพร้อมใช้งาน อินเทอร์เฟซของมันคล้ายกับ MS Office แต่มีแนวทางที่เรียบง่ายและคล่องตัวกว่า โดยส่วนตัวแล้ว ฉันพบว่ามันสนุกอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฟังก์ชัน AI ที่เพิ่มเข้ามาให้สำรวจ ฉันขอแนะนำให้ทุกคนลองใช้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และสัมผัสกับความสะดวกสบายและประสิทธิภาพด้วยตนเอง
คำถามที่พบบ่อย
คำถามที่ 1 ฉันควรทำอย่างไรหากลืมรหัสผลิตภัณฑ์
หากคุณลืมรหัสผลิตภัณฑ์ ให้ทำตามขั้นตอนเหล่านี้:
ขั้นตอนที่ 1: ไปที่เว็บไซต์ของ Microsoft แล้วลงชื่อเข้าใช้บัญชีของคุณ
ขั้นตอนที่ 2: คลิกที่แท็บ "ผลิตภัณฑ์และบริการ" (Products & Services)
ขั้นตอนที่ 3: เลือกผลิตภัณฑ์เฉพาะที่คุณต้องการรหัสผลิตภัณฑ์
ขั้นตอนที่ 4: จากนั้นคุณควรจะสามารถเห็นและคัดลอกรหัสผลิตภัณฑ์จากบัญชีของคุณได้
หากคุณไม่พบรหัสผลิตภัณฑ์ ให้พิจารณาติดต่อผู้ผลิตหรือซื้อรหัสใหม่
คำถามที่ 2 ฉันจะตรวจสอบได้อย่างไรว่า Microsoft Word ของฉันมีใบอนุญาตหรือไม่
คุณสามารถตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของ Microsoft Word ของคุณได้โดยใช้คำแนะนำทีละขั้นตอนด้านล่างนี้:
ขั้นตอนที่ 1: เปิด Microsoft Word
ขั้นตอนที่ 2: เข้าถึงแท็บไฟล์ (File) แล้วเลือกบัญชี (Account)
ขั้นตอนที่ 3: มองหา "ข้อมูลผลิตภัณฑ์" (Product information) ทางด้านขวาของหน้า
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของ Microsoft Word ของคุณ หากขึ้นว่า ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต (Unlicensed Product) คุณต้องดำเนินการแก้ไข
คำถามที่ 3 การเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์สามารถทำให้เกิดสถานะ "ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีใบอนุญาต" ได้หรือไม่
ได้ การเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ที่สำคัญ เช่น การติดตั้งเมนบอร์ดใหม่ อาจนำไปสู่ปัญหาการเปิดใช้งาน ในสถานการณ์เหล่านี้ คุณควรเปิดใช้งาน Office อีกครั้งโดยใช้รหัสผลิตภัณฑ์ของคุณ
เพื่อนคู่ใจคนใหม่ในราคาสบายกระเป๋า: WPS Office
ผู้คนมักใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่ง Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็นการหาเวอร์ชันเก่าหรือการตามล่าหาใบอนุญาตลดราคา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อราคาที่ถูกลง แต่ทำไมต้องยอมแลกในเมื่อคุณยังไม่รู้ว่าจะแก้ไขผลิตภัณฑ์ Microsoft Office ที่ไม่มีใบอนุญาตได้อย่างไร และคุณมีทางเลือกที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงซึ่งก็คือ WPS Office
นำเสนอคุณสมบัติขั้นสูงมากมายในราคาที่ย่อมเยาอย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงเวอร์ชันฟรีที่ดาวน์โหลดง่ายและเป็นมิตรกับผู้ใช้อย่างเหลือเชื่อ ให้โอกาสมันสักครั้ง แล้วอีกไม่นานคุณจะพบว่าตัวเองเลิกใช้ Microsoft Office ไปโดยสิ้นเชิง ดาวน์โหลด WPS Office ตอนนี้แล้วสัมผัสความแตกต่างด้วยตัวคุณเอง